4.0แล้วยังไงละสังคมไทย

ยุค 4.0

มีคนเคยสอบถามผมเรื่องของการใช้ชีวิตในยุค 4.0 คำนิยามนี้ผู้อ่านท่านใดเคยบ้างไหมว่าเข้าใจความหมายมันว่าอย่างไรกันบ้าง เข้าว่ากันสังคมยุคปัจจุบันนั่นจะอ้างอิงเรื่องราวทั้งหมดด้วยเทคโนโลยีที่ผูกติดกับเครื่องมือที่เราเองนั่นแหละเป็นผู้ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ เช่น สมาร์ทโฟนที่เราเองทุกคนใช้งานแบบติดตัวเทียบเท่ากับอวัยวะชิ้นที่ 33 นั่นเองไปไหนไปด้วย แทบจะกินนอนและตายไปพร้อมกับมันเลยนั่นเอง

            ซึ่งเรื่องนี้อย่ามองคนอื่นไกลกันเลยครับ เพราะทุกวันนี้ตัวผมเองนั่นแหละที่แทบจะกินนอนขับถ่ายก้ต้องมีสิ่งนี้ไปด้วยในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องราวประเภทใดก็มักจะมีเจ้าสิ่งนี้ไปด้วยเสมอ จนทางบ้านผมเข้าสอบถามว่า ถ้าผมขาดเจ้าสิ่งนี้สัก 1 วันผมจะตายหรือเปล่า ผมเองคิดในใจออกมาทันทีเลยครับว่าตายจ้า เพราะด้วยทุกเรื่องราวไม่ว่าจะเรื่องงาน การเงิน หรือสังคมทั้งหมดของผมเองนั่นมันได้เข้าไปอยู่กับสิ่งนี้ทั้งหมดมาตั้งนานมากแล้วก็ว่าได้ เรื่องราวเหล่านี้เป็นเสมือนภาพที่เห็นกันทุกวันจนเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้กันเลยก็ว่าได้ ถ้าใครไม่ใช้งานมันสิคนนั่นสิแปลก นั่นคือคำถามคุณคิดว่าจริงหรือเปล่าครับ ผมรีบตอบให้เลยนะครับว่ามันคือความจริงนั่นเองครับ

            มีหลากหลายเจ้าสำนักพิมพ์ที่เข้าได้เขียนบทความให้คำนิยามเรื่อง 4.0 เอาไว้เยอะมากเลยก็ว่าได้ผมเองก็เข้าไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่จะมาทำการเขียนรีวิวกับคำนิยามนี้ สิ่งที่มักจะได้เป็นคำตอบที่พูดกันคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างมากมันก็คือการที่โลกเรามีการปรับเปลี่ยนตามเทคโนโลยีแบบที่ก้าวกระโดดกันเลย ผมจึงมองว่าถ้าเรามองแบบบวกก็ดีเพราะโลกเราจำเป็นอย่างมากที่จะต้องพัฒนาทุกเรื่องในชีวิตประจำวันให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น แต่หากคุณคิดกลับกันละในแง่ลบมันอาจจะมีมากกว่าบวกอีกคุณว่าป่ะ เพราะคนเรานั่นเองที่มักจะใช้อะไรแล้วเมื่อเหตุว่าดี จิตใต้สำนึกเหล่านั่นก็มักจะสั่งให้คนเราทำมากยิ่งขึ้น ใช้มากยิ่งขึ้นจนมีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจากสังคมไทยแล้ว ณ ตอนนี้นั่นก็คือเรื่องของ คำว่าครอบครัวนั่นเอง คำว่าเอาใจใส่กับพ่อแม่ในวันแก้ชรา ซึ่ง ณ ตอนนี้ในสังคมไทยเราขอบอกว่าขาดหายไปเลยแทบจะมีน้อยครอบครัวนะที่จะมีการดูแลพ่อแม่แบบจริงจัง แบบเอาใจใส่ แบบชีวิตของคนไทยในอดีต ซึ่งท้ายนี้ผมเองคิดว่าเราควรที่จะหันมามองกันได้แล้วอย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่านะครับ